
จากบุคลิกผิว 16 ประเภท มีครึ่งหนึ่งมีลักษณะเป็น “ผิวบอบบาง” อย่างไรก็ตาม มันมีอยู่หลายความหมายที่ผู้คนพูดถึงเมื่อเขากล่าวว่าตนมี “ผิวบอบบาง” สิ่งสำคัญคือต้องระบุประเภทย่อยของผิวบอบบางที่คุณมี เพื่อเลือกการดูแลผิวที่เหมาะสม
ประเภทย่อยของผิวหนังบอบบางทั้ง 4 ประเภทมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การอักเสบ การอักเสบของผิวหนังเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยการอักเสบในร่างกายของคุณถูกกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวและแมสต์เซลล์ของคุณปล่อยฮีสทามีน ทำให้เกิดอาการแดง บวม และคัน มีสาเหตุหลายประการของการอักเสบ รวมถึงการบาดเจ็บ ระบบภูมิคุ้มกัน พรอสตาแกลนดิน ไซโตไคน์ คีโมไคน์ แบรดีไคนิน และตัวรับทางผ่าน (Toll-Like Receptors – TLRs) เส้นทางที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้นำไปสู่หลอดเลือดขยายตัวและฝอยแตก
เส้นทางการอักเสบสร้างความหายนะในร่างกายโดยการกระตุ้นระบบอื่น ๆ ซึ่งระบบเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อกันและกันเรื่อยๆจึงยากที่จะหยุดการอักเสบ การอักเสบเป็นสาเหตุของปัญหาผิวที่ไม่ต้องการมากมาย เช่น ริ้วรอยของผิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหยาบกร้าน รอยแดง การสูญเสียความกระจ่างใส และสิว เมื่อมีการอักเสบเหล่านี้ เซลล์ต่างๆ จะผลิตปัจจัยการอักเสบที่เพิ่มการผลิตพรอสตาแกลนดิน และส่วนต่างๆ ของระบบภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนัง
แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ของการอักเสบอย่างถ่องแท้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ว่าการอักเสบเป็นสาเหตุของปัญหามากมายที่อาจนำไปสู่สิ่งที่เราเรียกว่า “ผิวแพ้ง่าย” ผิวแพ้ง่ายมี 4 ประเภทหลักๆ แบ่งตามอาการอักเสบ หลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากผิวแพ้ง่ายมากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน แม้ว่าแต่ละประเภทจะมีอาการอักเสบคล้ายกัน แต่ทั้งหมดมีลักษณะ สาเหตุ และการรักษาที่แตกต่างกัน
1. สิว
สิวเป็นปัญหาผิวทั่วไปสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่หลายคน มีลักษณะเป็น สิวผด สิวหนอง สิวหัวขาว และสิวหัวดำ (สิวอุดตัน) สิวสามารถรุนแรงจนนำไปสู่ซีสต์และรอยแผลเป็นได้ การใช้วิธีการรักษาที่สม่ำเสมอในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสิว เนื่องจากแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักของสิวมีแนวโน้มที่จะแพร่พันธุ์ตัวมันเองทุกๆ 12 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าคุณต้องรักษาสิววันละสองครั้ง มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถบรรเทาอาการได้
วัฏจักรของการเกิดสิวจะอยู่ที่ประมาณ 8 สัปดาห์ ดังนั้นอาจใช้เวลาถึง 8 สัปดาห์กว่าในการรักษาสิวของคุณจึงจะได้ผล หลายคนท้อแท้ตั้งแต่ประมาณสัปดาห์ที่ 4 และหยุดใช้วิธีการรักษาสิวของตน มันจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องใช้การรักษาต่อไป เช่น กรดซาลิไซลิก เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และเรตินอยด์อย่างต่อเนื่อง ให้เวลาเพียงพอในการดูแลรักษา อย่าเพิ่งหยุดการรักษาสิวเมื่อสิวหายไป เพราะผิวคุณยังต้องการการดูแลผิวที่สม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นอีก เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์และกรดซาลิไซลิกสามารถช่วยรักษาสิวที่คุณเป็นอยู่ได้ แต่การป้องกันสิวที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเรตินอยด์
2. โรคผิวหนังอักเสบ
โรคผิวหนังอักเสบเป็นภาวะที่มักจะปรากฏขึ้นหลังจากอายุ 25 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนผิวขาว ลักษณะเด่นคือหน้าแดง ไหม้ แสบ หลอดเลือดแตก และรู้สึกร้อนบนใบหน้าเป็นช่วงๆ ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบบางคนมีสิวที่ดูเหมือนยุงกัดหรือตุ่มหนองเล็กๆ ทางที่ดีควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อป้องกันความเรื้อรัง ดังนั้นหากคุณสังเกตเห็นสัญญาณใดๆของโรคนี้ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเริ่มการรักษาทันที อย่ารอจนผิวหนังอักเสบมีอาการรุนแรงจึงจะรักษาได้
บางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบและรอยแดงที่เกิดจากโรคผิวหนังอักเสบ ได้แก่
● ทานอาหารต้านการอักเสบ เช่น ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก ผลไม้และผักสด ผักใบเขียวเข้ม
● ใช้ส่วนผสมบำรุงผิวที่ต้านการอักเสบ เช่น น้ำมันผลอาร์แกนและพืชฟีเวอร์ฟิว
● หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์และการรักษาบางอย่างที่อาจทำให้อาการของคุณแย่ลง เช่น ไฮโดรคอร์ติโซนและสเตียรอยด์ต่างๆ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์บนผิวหน้า แว็กซ์ร้อน และลอกผิวด้วยเคมีที่รุนแรง
● หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น แอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ด และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง
● พูดคุยกับแพทย์ผิวหนังของคุณ
3. อาการแสบร้อนและแสบไหม้ (ประสาทสัมผัส)
อาการแสบร้อน คัน แสบไหม้ และความรู้สึกไม่สบายผิวอื่นๆ เป็นผลมาจากสิ่งกระตุ้นที่ส่งผลต่อปลายประสาทที่บอบบาง ถึงแม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของอาการแสบร้อนนี้จะยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่เราทราบดีว่าการหลีกเลี่ยงส่วนผสมบางอย่างสามารถช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนและผลข้างเคียงอื่นๆได้ วิตามิน C กรดอัลฟาไฮดรอกซี กรดเบนโซอิก และโซเดียมลอเรทซัลเฟตเป็นตัวอย่างของส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงหากผิวของคุณไหม้หรือแสบร้อน บางคนพบปัญหากับสารเคมีกันแดดเอโวเบนโซน ซึ่งมักเป็นสาเหตุของการแสบตาจากครีมกันแดด
เป็นที่น่าสนใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีผิว “แสบ” ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้ว่าส่วนผสมใดที่ทำให้ผิวของคุณมีอาการแสบร้อนและควรหลีกเลี่ยง คนในประเภทผิวหนังอักเสบมีแนวโน้มที่จะแสบร้อนด้วย คุณอาจรู้สึกแสบร้อนไม่สบายผิวชั่วคราวเมื่อคุณเริ่มใช้ยาเรตินอยด์ เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ผิวของคุณแพ้ง่ายในช่วงสองสามสัปดาห์แรก
4. ผื่นแพ้สัมผัส (ภูมิแพ้และระคายเคือง)
ผื่นแพ้สัมผัสเกิดขึ้นเมื่อสารระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง โรคผื่นแพ้สัมผัสมีสองประเภท โรคผื่นแพ้สัมผัสจากการระคายเคืองและโรคผื่นแพ้สัมผัสจากภูมิแพ้ สารระคายเคืองคือสิ่งที่ใครๆก็กังวลได้เมื่อพบในปริมาณที่สูง เช่น กรดแบตเตอรี่ หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ส่วนภูมิแพ้นั้นแปลว่าร่างกายของคุณมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบ ผื่นทั้งสองมีลักษณะเหมือนกันและได้รับรักษาในลักษณะเดียวกัน โดยหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นและสารต้านการอักเสบ ไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการภูมิแพ้เหมือนๆกัน คุณต้องจดจำหรือทำการทดสอบเพื่อตรวจว่าคุณแพ้สารเฉพาะที่หรือไม่ (การตรวจเลือดอาจไม่เพียงพอ)
เมื่อคุณระบุสาเหตุของการภูมิแพ้ได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงส่วนผสมเหล่านั้น สกินบาเรียสามารถเสริมความแข็งแรงได้ด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ซ่อมแซมเกราะปกป้องผิว และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุดคือน้ำหอมและสารกันบูด เมื่อเร็วๆนี้กลุ่มของส่วนผสมที่เรียกว่าแอลคิลไกลโคไซด์ถูกพบได้ในผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เป็นจำนวนมาก พวกมันมีการเชื่อมโยงกับการแพ้ทางผิวหนัง แหล่งธรรมชาติของแอลคิลไกลโคไซด์ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันคาโนลา ข้าวโพด แป้งข้าวสาลี และมันฝรั่ง แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าแอลคิลไกลโคไซด์ทั้งหมดเป็นส่วนผสมที่ “ไม่ดี” แต่มันก็หมายความว่าคุณอาจต้องระมัดระวังเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่คุณเลือกหากคุณมีประวัติผิวหนังแพ้ง่าย
คุณอาจพบแอลคิลไกลโคไซด์ได้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย แชมพู คลีนเซอร์ มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด และสารระงับกลิ่นกาย ดังนั้นหากคุณมีอาการผื่นขึ้นและไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นขึ้น ให้อ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของคุณเพื่อดูว่าหลายๆอย่างมีส่วนผสมเหล่านี้หรือไม่ จากนั้นพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการทดสอบเพื่อช่วยในการระบุสาเหตุของภูมิแพ้ได้
สรุป
การจัดการผิวที่บอบบางอาจเป็นเรื่องยาก แต่การใช้ส่วนผสมต้านการอักเสบอย่างเหมาะสมสามารถช่วยป้องกันการอักเสบได้